มาตรฐานกรมการบินพลเรือนต่ำเกณฑ์ ICAO ลาก สายการบินสัญชาติไทยป่วน ญี่ปุ่นห้ามเพิ่มเที่ยวบินและเช่าเหมาลำเปิดใหม่ ช่วงสงกรานต์ นักท่องเที่ยวไทยฝันค้าง หวั่นเกาหลี ยุโรป อเมริกาทำตามญี่ปุ่นเพิ่ม

จากกรณีที่ ประเทศญี่ปุ่น โดย Japan Civil Aviation Bureau (JCAB) ได้มีหนังสือถึงกรมการบินพลเรือน (บพ.) เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2558 ว่า JCAB จะไม่อนุมัติให้มีการขยายหรือเปลี่ยนบริการขนส่งทางอากาศ ไม่ว่าจะในรูป การเพิ่มท่าอากาศยานหรือเปลี่ยนแบบอากาศยานที่จะให้บริการไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยจะยกเลิกมาตรการต่อเมื่อ บพ.จะผ่านการ ตรวจสอบตามโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Program; USOAP) ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)

เรื่องดังกล่าวทำให้สายการบินสัญชาติไทย ที่ได้ยื่นขอทำการบินแบบเช่าเหมาลำ (Charter Flight) ไปญี่ปุ่นเพื่อรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ ไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 3 สายการบิน คือ

1. สายการบินไทย แอร์เอเชีย เอ็กซ์ ไม่ได้รับอนุญาตให้เพิ่มเส้นทางบินไปฮอกไกโด
2. สายการบินนก สกู๊ต ไม่ได้รับอนุญาตให้บินเช่าเหมาลำ ไปยังเมืองเกียวโต และโอซากา
3. สายการบิน เอเชีย แอตแลนติก

ซึ่งถือเป็นความเสียหายต่อธุรกิจการบินเนื่องจากเป็นช่วง ปิดเทอม ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก

สายการบินสัญชาติไทยกระอัก ถูกกรมการบินพลเรือนของญี่ปุ่นเข้มงวดความปลอดภัย หลัง ICAO ไม่มั่นใจระบบมาตรฐานการทำงานของกรมการบินพลเรือนไทย เบื้องต้น 4 สายการบินถูกระงับการอนุมัติเพิ่มจุดบินไปญี่ปุ่น “ประจิน” ได้แต่บ่นผิดหวังเพราะพยายามแก้ปัญหาอยู่ ขณะที่บริษัททัวร์วุ่นหลังขายแพ็กเกจคนไทยเที่ยวญี่ปุ่นช่วงสงกรานต์ไปหมดแล้ว

นายสมชาย พิพุธวัฒน์ อธิบดีกรมการบินพลเรือน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา กรมฯได้รับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์จากกรมการบินพลเรือนญี่ปุ่น ระบุว่า ได้รับทราบผลการตรวจสอบจากองค์การการบินระหว่างประเทศ (ICAO) ที่ตรวจพบข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยเกี่ยวกับกระบวนการรับรองการเดินอากาศของกรมการบินพลเรือนไทย กรมการบินพลเรือนญี่ปุ่นจึงไม่อนุมัติให้มีการขยายหรือเปลี่ยนบริการขนส่งทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มท่าอากาศยานหรือเปลี่ยนแบบอากาศยานที่จะทำการบินจากไทยไปยังประเทศญี่ปุ่น ขณะเดียวกันจะเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบข้อปฏิบัติเกี่ยวกับอากาศยานของไทยมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ มาตรการของญี่ปุ่นจะไม่กระทบกับสายการบินที่ให้บริการแบบประจำ และจะยกเลิกมาตรการดังกล่าวเมื่อไทยสามารถปรับแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆได้แล้ว ส่วน 4 สายการบินที่ยื่นขอทำการบินแบบเช่าเหมาลำหรือชาร์เตอร์ไฟลท์จากประเทศไทยไปยังญี่ปุ่นจะไม่ได้รับอนุมัติ ประกอบด้วย สายการบินไทย แอร์เอเชีย เอ็กซ์ จะไม่ให้เพิ่มจุดบินไปยังฮอกไกโด สายการบินนกสกู๊ต ไม่ได้รับอนุญาตให้บินเช่าเหมาลำช่วงวันหยุดสงกรานต์ไปยังเกียวโตและโอซากา และสายการบินเอเชีย แอตแลนติก ไม่ได้รับอนุญาตให้บินช่วงเทศกาลสงกรานต์เช่นกัน

ผลสำรวจจากโฮเทลส์ ดอทคอมเผย เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ยังครองอันดับ 1 สถานที่ที่คนไทยนิยมไปมากที่สุด ในปี 2556 โดยยังครองอันดับหนึ่งต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว

ดัชนีราคาห้องพักโรงแรม The Hotels.com Hotel Price IndexTM (HPI) ปีล่าสุดพ.ศ. 2556 รายงานสถานที่ 20 อันดับสูงสุดที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว โดย 5 อันดับแรกนั้นอยู่ในเอเชียทั้งหมดโดย ได้แก่ โตเกียว, ฮ่องกง, สิงค์โปร์, โอซาก้า และเสียมเรียบ

สำหรับดัชนีราคาห้องพักโรงแรม The Hotels.com Hotel Price IndexTM (HPI)โดยโฮเทลส์ ดอทคอม เป็นแบบสำรวจเกี่ยวกับราคาโรงแรมในสถานที่ท่องเที่ยวทั่วโลกที่ทำขึ้นเป็นประจำ ดัชนี HPI นี้อ้างอิงจากการจองห้องพักบนเว็บไซต์โฮเทลส์ ดอทคอม และราคาที่ปรากฏเป็นราคาที่ลูกค้าชำระจริงต่อการใช้ห้องพักหนึ่งห้องเป็นเวลาหนึ่งคืน ไม่ใช่ราคาตามที่โฆษณาไว้

ณ ปัจจุบันในปีที่สิบ ดัชนี HPI ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดรายงานเกี่ยวกับราคาโรงแรมทั่วโลก และมีผู้ใช้เป็นรายงานอ้างอิงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อต่างๆ ผู้ประกอบการหรือเจ้าหน้าที่โรงแรม นักวิเคราะห์การเงิน นักลงทุน ตัวแทนการท่องเที่ยว และนักวิชาการ

ด้วยขนาดที่เป็นสากลของโฮเทลส์ ดอทคอมไม่ว่าจะเป็นจำนวนลูกค้า สถานที่และแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ดัชนีราคาโรงแรมเล่มนี้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการเปรียบเทียบที่ครอบคลุมที่สุดแห่งหนึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยรวบรวมข้อมูลจากทั้งโรงแรมเครือหลัก และโรงแรมอิสระ รวมทั้งตัวเลือกอื่นๆเช่นที่พักที่ให้ผู้พักประกอบอาหารเอง หรือห้องพักที่มีอาหารเช้าบริการ (Bed & breakfast)

ผลสำรวจจากทริปแอดไวเซอร์ (TripAdvisor) พบนักเดินทางทั่วโลกเลือกให้โตเกียว (Tokyo) ติดอันดับสูงสุดในแบบสำรวจเมืองทั่วโลกของทริปแอดไวเซอร์ ส่วนกรุงเทพฯ (Bangkok) ติดอันดับต้นๆ ในด้านโรงแรม การช้อปปิ้ง ชีวิตยามราตรี และมีความคุ้มราคา

ทริปแอดไวเซอร์ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดในโลกประกาศผลสำรวจประจำปีครั้งที่สองในหัวข้อ "เมืองที่ดีที่สุด" โดยเปิดเผยมุมมองของนักเดินทางที่มีต่อเมืองท่องเที่ยวชื่อดังทั่วโลก ผลสำรวจได้รับการรวบรวมมาจากคำตอบของนักเดินทางมากกว่า 54,000 คนที่ได้เขียนบทวิจารณ์ให้กับเมืองเด่นๆ ทั่วโลกบนเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ในปี 2556

เมืองที่ได้อันดับหนึ่งในด้านประสบการณ์โดยรวมดีที่สุดคือ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถูกเลือกเป็นอันดับ 1 ในด้านความมีน้ำใจช่วยเหลือของคนในท้องถิ่น บริการแท็กซี่ บริการขนส่งสาธารณะ และความสะอาดของท้องถนน โดยกรุงโตเกียวได้รับคะแนนสูงในทุกๆ ด้าน โดยติดอันดับ 1 ใน 10 ใน 13 หมวดหมู่จากทั้งหมด 16 หมวดหมู่ในแบบสำรวจครั้งนี้

ดัชนีราคาห้องพักโรงแรม (Hotel Price Index) ล่าสุดที่จัดทำโดย Hotels.com ระบุราคาห้องพักเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ในปี 2013 เชื่อเป็นเพราะนักท่องเที่ยวทั่วโลกขยายตัวร้อยละ 5

ดัชนีราคาห้องพักโรงแรม The Hotels.com™ Hotel Price IndexTM (HPI™)โดย Hotels.com ระบุว่า ราคาห้องพักโรงแรมเฉลี่ยทั่วโลกขยับขึ้นร้อยละ 3 ในช่วงปี 2013 ซึ่งเป็นการขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่ 4 แล้วนับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ราคาตกอย่างมากในช่วงวิกฤติทางการเงินปี 2008-2009 โดยในปี 2013 ดัชนี HPI ขยับไปอยู่ที่ 110 จุด

ส่วนละตินอเมริกายังคงเป็นภูมิภาคที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุด โดยราคาห้องพักโรงแรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และปัจจุบันเลยจุดสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ตั้งไว้ก่อนช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกไม่นาน จากรายงานที่ตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ราคาห้องพักจึงสูงขึ้นตามสัดส่วนความต้องการที่เพิ่มขึ้น

มร. โยฮัน สแวนสตรอม ประธาน Hotels.com กล่าวว่า "UNWTO (United Nations World Tourism Organization) ระบุว่า การเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2013 ขยายตัวร้อยละ 5 ไปอยู่ที่ 1,087 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ทั่วโลกและเกินความคาดหมาย อัตราการเติบโตของราคาห้องพักโรงแรมทั่วโลกที่เรากำลังรายงานอยู่ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าว”

“ปรากฏการณ์หนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อราคาห้องพักโรงแรมทั่วโลกในปี 2014 คือ การเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนแฟนกีฬาที่เดินทางในช่วงปีนี้ โดยมีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองโซชี ประเทศรัสเซียและพาราลิมปิกในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม รวมถึงฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) ในบราซิลในช่วงฤดูร้อนที่จะถึงนี้" มร. โยฮัน กล่าว

ทรูเทงบประมาณ 600 ล้านบาท ทำซีเอสอาร์รูปแบบใหม่ ผ่านการให้บริการ AOT Free WiFi by TrueMove H โดยได้เปิดให้บริการล่าสุดที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากทั้งหมด 6 แห่งทั่วประเทศ เผยการเปิดใช้ก่อนหน้านี้เพียง 3 เดือนใน 2 สนามบินมีผู้ใช้กว่า 1 แสนรายต่อวัน ด้านทอท.เผยในปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการรวมกันกว่า 88 ล้านคน ซึ่งการให้บริการ WiFi จะช่วยสร้างความสะดวกสบายและน่าประทับใจให้มากขึ้น

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า กลุ่มทรูได้จับมือกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ ทอท.ในการวางโครงข่ายสัญญาณไฟเบอร์ ออปติกความเร็วสูงสุดถึง 200 เม็ก เพื่อให้บริการ AOT Free WiFi by TrueMove H โดยได้ทำการให้บริการ WiFi ความเร็วสูงสุด10 Mbps ได้ฟรีทั่วพื้นที่ วันละ 2 ชั่วโมงในสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินภูเก็ต สนามบินหาดใหญ่ สนามบินเชียงใหม่ และสนามบินดอนเมือง โดยใช้งบประมาณการลงทุนทั้งสิ้นกว่า 600 ล้านบาท

ทั้งนี้ได้ทำการเปิดบริการล่าสุดในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดการให้บริการฟรี WiFi ที่สนามบินเชียงใหม่ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งในครั้งนั้นได้รับผลตอบรับจากนักเดินทางทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเข้าใช้งานกว่า 100,000 ราย นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะถือเป็นการทำซีเอสอาร์ของกลุ่มทรูแล้ว ยังถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทางการสื่อสารให้กับลูกค้าของทรูด้วย

เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สิงคโปร์กลายเป็นเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกในปี 2013 แซงหน้ากรุงโตเกียวของญี่ปุ่นซึ่งหลุดบัลลังก์แชมป์ลงไปอยู่อันดับที่ 6 จากการจัดอันดับโดย Economist Intelligence Unit (EIU) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยในเครือนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์

ผลวิจัยชิ้นนี้สรุปจากการวิเคราะห์เปรียบเทียบราคาสินค้าและบริการกว่า 160 รายการใน 131 เมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น อาหาร, อุปกรณ์สำหรับใช้ในห้องน้ำ, เครื่องนุ่งห่ม, ค่าจ้างแม่บ้าน, ค่าโดยสารรถสาธารณะ และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ

เมืองที่ค่าครองชีพสูงสุดรองจากสิงคโปร์ ได้แก่ ปารีส, ออสโล, ซูริก, ซิดนีย์ ซึ่งติดอันดับ 2-5 ตามลำดับ ขณะที่อันดับ 6 เท่ากันมีอยู่ 4 เมือง ได้แก่ การากัส, เจนีวา, เมลเบิร์น, โตเกียว และอันดับ 10 คือ โคเปนเฮเกน

รายงานของ EIU ชี้ว่า การที่สิงคโปร์กลายเป็นเมืองค่าครองชีพแพงสุดนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเกาะศูนย์กลางธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ไต่อันดับขึ้นมาเรื่อยๆในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่แข็งขึ้นถึง 40% ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น ไวน์ 1 ขวดซึ่งราคา 13.25 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อ 10 ปีก่อน เวลานี้ราคาพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 25.04 ดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่ม 89%) ส่วนขนมปังแถวที่เคยราคาเพียง 0.69 ดอลลาร์สหรัฐ ก็ขยับมาเป็น 1.73 ดอลล์สหรัฐ (เพิ่ม 150%)

ใบอนุญาตครอบครองรถยนต์ในสิงคโปร์ (certificate of entitlement - COE) ซึ่งราคาประมูลแพงลิบลิ่ว ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การขับรถยนต์สักคันในสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่อื่นๆ และยังทำให้ค่าเดินทางในสิงคโปร์แพงกว่านิวยอร์กเกือบ 3 เท่า

สิงคโปร์ประกาศแผนแม่บทขยายท่าอากาศยานชางงี เพื่อรองรับการย้ายฐานทัพอากาศและรับมือความท้าทายจากสนามบินคู่แข่งอย่างกัวลาลัมเปอร์และสุวรรณภูมิ นอกจากนี้รัฐบาลแดนลอดช่องยังมีแผนย้ายท่าเรือเพื่อสร้างเมืองริมน้ำแห่งใหม่ โดยทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อคลายความกังวลของประชาชนและฟื้นคะแนนนิยมที่ถดถอยของพรรครัฐบาลกลับคืนมาอีกครั้ง

คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง เนื่องในวันชาติสิงคโปร์เมื่อคืนวันอาทิตย์ (18 ส.ค.) ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งดูเหมือนเป็นการทัดทานกระแสต่อต้านของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่มีต่อพรรคพีเพิลส์ แอ็กชัน ปาร์ตี้ (พีเอพี) ของเขา ซึ่งเป็นผู้บริหารสิงคโปร์มาอย่างต่อเนื่องกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

ลี อาศัยคำปราศรัยคราวนี้ กล่าวถึงโครงการต่างๆ ของรัฐบาลอย่างครอบคลุม ทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบสาธารณสุขและการศึกษา และการย้ายท่าเรือซึ่งแออัดที่สุดอันดับ 2 ของโลกไปยังทำเลใหม่ในย่านตูอัส ทางตะวันตกของประเทศนับตั้งแต่ปี 2027 โดยจะนำพื้นที่เดิมในตันจงปาการ์ ที่อยู่ถัดจากย่านธุรกิจกลางเมือง ไปพัฒนาเมืองริมน้ำแห่งใหม่

เขายังเปิดเผยแผนการสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร (เทอร์มินัล) แห่งที่ 5 ในท่าอากาศยานชางงี ซึ่งเป็นสนามบินที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน เพื่อรองรับการย้ายฐานทัพอากาศภายหลังปี 2030 และพัฒนาที่ดินในฐานทัพอากาศเดิมในปายาร์ ลีบาร์ ให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย โรงงาน และย่านธุรกิจ

แผนการนี้ยังมีจุดประสงค์ในการรักษาตำแหน่งศูนย์กลางการบินในภูมิภาคของชางงี ที่กำลังถูกท้าทายจากสนามบินกัวลาลัมเปอร์และสุวรรณภูมิ ที่ต่างมีแผนขยายสนามบิน โดยที่การก่อสร้างเทอร์มินัล 5 นี้จะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ และจะเสร็จสิ้นในเวลา 12-15 ปี

Manager Online

งานนี้จำกัดสิทธิเฉพาะ 'คนไทย' เท่านั้น ไปต่างประเทศนอกจาก 'หนังสือเดินทาง' ที่ขาดไม่ได้ ใบเบิกทางท่องโลกที่สำคัญอีกอย่างก็คือ 'วีซ่า' ซึ่งค่าธรรมเนียมในแต่ละประเทศอาจต่างกัน แต่มีถึง 25 ประเทศ ที่อ้าแขนรับการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยแบบไม่ต้องขอวีซ่า เพียงแต่ต้องพำนักภายในเวลาที่กำหนด

พำนักไม่เกิน 180 วัน

• ชิลี : 90 วัน
• บราซิล : 90 วัน
• เปรู : 90 วัน
• สาธารณรัฐเกาหลี : 90 วัน
• อาร์เจนตินา : 90 วัน
• เอกวาดอร์ : 90 วัน
• ปานามา : 180 วัน

พำนักไม่เกิน 21 วัน

• กัมพูชา : 14 วัน
• บาห์เรน : 14 วัน
• บรูไน : 14 วัน
• ญี่ปุ่น : 15 วัน
• ฟิลิปปินส์ : 21 วัน

พำนักได้ 30 วัน

• เวียดนาม : 30 วัน
• ตุรกี : 30 วัน
• ลาว : 30 วัน
• รัสเซีย : 30 วัน
• เซเซลส์ : 30 วัน
• มาเก๊า : 30 วัน
• มองโกเลีย : 30 วัน
• มาเลเซีย : 30 วัน
• มัลดีฟส์ : 30 วัน
• สิงคโปร์ : 30 วัน
• อินโดนีเซีย: 30 วัน
• แอฟริกาใต้ : 30 วัน
• ฮ่องกง : 30 วัน

ASTVผู้จัดการ – สถานทูตญี่ปุ่นในไทยประกาศแล้ว คนไทยเที่ยวญี่ปุ่นไม่ต้องใช้วีซ่าเริ่ม 1 ก.ค. อยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน แต่ต้องเตรียมเอกสารอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อให้ผ่านการพิจารณาจาก ตม. เช่น วัตถุประสงค์ในการเข้าญี่ปุ่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ เป็นต้น

ช่วงเช้าวันนี้ (25 มิ.ย.) เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ออกประกาศเป็นข่าวประชาสัมพันธ์ระบุเรื่อง “การยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยเริ่มบังคับใช้ใน วันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556” ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2556 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกประกาศอนุมัติการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยที่มีจุดประสงค์เพื่อจะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นในระยะสั้น มาตรการผ่อนผันวีซ่านี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย และทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้เตรียมการในช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะให้มีผลบังคับใช้ทันภายในช่วงฤดูร้อนปีนี้

สำหรับรายละเอียดของการยกเว้นวีซ่าญี่ปุ่นของนักท่องเที่ยวชาวไทยนั้น สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ระบุว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 และสามารถพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ 15 วัน (หากผู้ยื่นประสงค์จะพำนักในประเทศญี่ปุ่นเกิน 15 วัน หรือไปทำงาน หรือมีวัตถุประสงค์อื่นๆ จะต้องยื่นขอวีซ่าตามปรกติ)”

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะเข้าประเทศได้นั้น จะต้องผ่านการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก่อนจึงจะสามารถเข้าประเทศได้ (เช่นเดียวกับผู้ที่ยื่นขอวีซ่ากับทางสถานเอกอัครราชทูต) ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะสอบถามถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าประเทศ หรือขอตรวจเอกสารที่จำเป็น เช่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ หรืออื่นๆ